ห้างขายตรงสะดวกซื้อ Convenience MLM

J&C บิ๊กแบรนด์ขายตรง กับก้าวทะยาน Modern Trade MLM
ด้วยความไม่หยุดนิ่งของผู้เป็นหัวเรือใหญ่ ที่ชาญฉลาดและมองการณ์ไกล อย่าง “ดร.สมชาย หัชลีฬหา”ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับธุรกิจขายตรง “จอย แอนด์ คอยน์ (J&C)” ได้อย่างทะลุกรอบไม่เหมือนใคร!! โดยเฉพาะการขับเคลื่อนธุรกิจขายตรง J&C ให้ทะยานก้าวเข้าสู่ความเป็น “ห้างสรรพสินค้าขายตรง หนึ่งเดียวในสยาม” ชนิดที่ไม่มีคู่แข่งรายใดในสังเวียนเดียวกันกล้าท้าเผชิญหน้าได้เลย


ที่สามารถกล่าวเช่นนั้นได้ก็เนื่องมาจากภาพความไม่ธรรมดาในความคิดใหญ่ก้าวใหญ่ตามรอยเดียวกันกับ “ธุรกิจโมเดิร์นเทรด”ซึ่งถือเป็นแนวคิดแนวทางที่จุดประกายขึ้นมานับแต่วันเริ่มต้น!! ด้วยการเปิดตัวโมเดล “ธุรกิจขายตรงสะดวกซื้อ”รูปแบบใหม่ที่ฉีกแนวไปจากเดิมภายใต้ชื่อ “จอยมาร์ท (JoinMart)” ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาและปรับรูปแบบให้กลายมาเป็นร้านสะดวกซื้อ เจซี ช็อป (JC Shop)

ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนารูปแบบสาขาที่เข้าใกล้ความเป็น “ห้างสรรพสินค้าขายตรง” มากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

“...จุดสำคัญที่ผมตั้งข้อสังเกต คือ ทำไมพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนต่างให้ความสนใจมาจับจ่ายใช้สอยในห้างโมเดิร์นเทรด จากนั้นจึงคิดต่อไปว่าจะทำเช่นไรให้บริษัทขายตรงที่ขายสินค้าเพียงไม่กี่รายการ สามารถมีสินค้า ที่หลากหลายเหมือนกับห้างโมเดิร์นเทรดได้ และน่าจะเป็นการดีถ้าจะทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนจากการใช้จ่ายที่ซื้อในห้างโมเดิร์นเทรดแล้วหันมาซื้อในห้าง ขายตรง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นโจทย์ที่ผลักดันให้ผมเริ่มต้นพัฒนาเครื่องมือพัฒนาระบบให้ก้าวไปสู่เป้าหมายที่เป็นจริงได้ในที่สุด...”

เป็นถ้อยความหนึ่งของ “ดร.สมชาย” ที่สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกในความเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ที่รู้ลึกและรู้เท่าทันการณ์ทางธุรกิจที่เป็นไปโดยรอบ มิใช่แค่ “ธุรกิจขายตรง” ซึ่งเขามีความรู้ความเข้าใจในวิถีของวงการนี้อย่างช่ำชองอยู่แล้วแต่ยังหมายรวมไปถึงการมองเห็นแนวโน้มที่ได้เกิดขึ้นในธุรกิจ ประเภทอื่นๆ อย่างเช่น “ธุรกิจโมเดิร์นเทรด”

ในทางเดียวกันเมื่อนึกถึง “ธุรกิจ โมเดิร์นเทรด” ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์ท หรือดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ก็ตาม อาทิเช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11), บิ๊กซี, เทสโก้ โลตัส และแม็คโคร ซึ่งในแต่ละปีล้วนแต่มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกันทั้งนั้น โดยหากนับตัวเลข ยอดขายรวมกันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 เฉพาะ 4 รายใหญ่ที่ว่านี้ก็คิดเป็นมูลค่ามหาศาลมากกว่า 5 แสนล้านบาทเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับรวมกับโมเดิร์นเทรด รายอื่นๆ อีกต่างหาก

ที่น่าตื่นตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือ มูลค่ายอดขายโดยรวมของ “โมเดิร์นเทรด” เพียงแค่บริษัทเดียว แต่กลับมีมูลค่าทางการตลาดมากกว่าทั้ง “อุตสาหกรรมขายตรง” รวมกันเสียอีก

แต่ถึงอย่างไรก็ตามการขยายตัวที่เกิดขึ้น อย่างมากมายของ “ยักษ์โมเดิร์นเทรด” เหล่านี้ ล้วนตกอยู่ในมือผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยเฉพาะต่างชาติที่มีอำ นาจเงิน และอำ นาจ ต่อรองมหาศาล ดังนั้นโอกาสที่คนไทยจะเป็นเจ้าของธุรกิจดังกล่าวก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก และด้วยเหตุนี้เองจึงจุดประกายความคิดอันชาญฉลาดของ “ดร.สมชาย” สู่การนำพาธุรกิจ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ให้โดดเด่น ดำรงความเป็นหนึ่งในวงการได้ อย่างช่ำชองและเหนือชั้น!! บนแนวทางการพัฒนาและคิดค้น “นวัตกรรมขายตรงสะดวกซื้อหนึ่งเดียวในสยาม” ที่ไม่เหมือนใครจอย แอนด์ คอยน์ (J&C) มีผลิตภัณฑ์สินค้าทั้งในกลุ่มธุรกิจ ขายตรงและทั่วไปทั้งสิ้นกว่าหมื่นรายการ แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าในหมวดขายตรงภายใต้แบรนด์ J&C กว่า 300 รายการ ผลิตภัณฑ์สินค้าจากกลุ่มพันธมิตรอีก 88 บริษัท จำนวนกว่า 1,000 รายการ และผลิตภัณฑ์สินค้าใน เจซี ช็อป (JC Shop) อีกประมาณ 10,000 กว่ารายการ

แต่ยัง “ขายความมั่นคงในอนาคต” ให้กับสมาชิกผู้นำนักธุรกิจอิสระ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ได้สร้างเงินเสริมรายได้เข้ากระเป๋าได้เพิ่มขึ้น ด้วยช่องทางการตลาดแบบผสมผสานหลายช่องทางหลัก ทั้งช่องทางแบบ “ขายปลีก” สำหรับฐานลูกค้าผู้บริโภค ซื้อกิน-ซื้อใช้ทั่วไปและช่องทาง “ขายส่ง” เอาใจกลุ่มกำลังซื้อในปริมาณมากๆ และสุดท้าย “ช่องทางขายตรง” เพื่อสมาชิกสามารถใช้เป็นแหล่งจับจ่าย และยังได้รับคะแนน มีรายได้กลับคืนมาอีกด้วย เพื่อสอดรับกับแนวทางการทำงาน ตามความถนัดของแต่ละคน ตามจากเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ทั้ง “จอย แอนด์ คอยน์ (J&C)” และ “เจซี ช็อป (JC Shop)” ในการมอบ “ธุรกิจที่เป็นไปได้ ทำง่ายที่สุด”

โดยสมาชิกจะได้ความพิเศษจากการซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าใน “เจซี ช็อป (JC Shop)” นั้นแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลักด้วยกัน ได้แก่
1. สมาชิกได้แต้ม PV เพื่อนำกลับมาคำนวณเป็นรายได้คืนให้กลับสมาชิก
2. สมาชิกจะได้รับ RV สำหรับ ผู้สปอนเซอร์ในการเข้ามาซื้อสินค้า เพราะฉะนั้นราคาสินค้าใน เจซี ช็อป (JC Shop)เมื่อไปเปรียบเทียบกับร้านสะดวกซื้อที่อื่น เจซี ช็อป (JC Shop) จะถูกกว่า
3. สมาชิกยังสามารถซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าในราคาขายส่ง ในจำนวนมากไปขายต่อ พร้อมกับได้รับเปอร์เซ็นต์กำไรอีกด้วย
4. สมาชิกมีรายได้จากการนำสินค้า ไปขายปลีกต่อชิ้นให้กับลูกค้า ในราคาเต็ม และยังสามารถได้กำไร จากส่วนต่างอีกด้วย
5. สมาชิกที่เน้นทำธุรกิจก็ยังสามารถสะสมแต้มเพื่อขึ้นตำแหน่ง และใช้ในการสะสมแต้มเพื่อพิชิตรางวัล ท่องเที่ยวประจำปีของบริษัทได้เช่นกัน
6. สมาชิกจะได้รับคะแนนสะสมแต้มเป็น Special Value (SV) โดยทุกๆ 25 บาท ที่สมาชิกได้ซื้อสินค้าใน เจซี ช็อป (JC Shop) ในทุกๆ แผนการตลาด ก็จะได้รับคะแนนสะสมทันที 1 คะแนน เพื่อใช้และแต้มเป็นสินค้าสมมนาคุณ ระดับพรีเมี่ยม โดยไม่จำกัดระยะเวลาในการสะสมคะแนน

ตัวอย่างเช่นเมื่อเปิดระบบขายส่งแล้ว กลุ่มเป้าหมายของสมาชิกก็ยังสามารถหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นร้านค้าโชว์ห่วยได้อีก เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาไปชักชวนสมาชิก แต่สามารถซื้อของเป็นแพ็คเป็นหีบแล้วได้คะแนน ต่อที่ 1 ได้ PV, ต่อที่ 2 ได้ลดเงินสด 25%, ต่อที่ 3 ได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 25%, ต่อที่ 4 ไปขายต่อแล้วได้กำไร, ต่อที่ 5 สามารถที่จะลงคะแนนไปใส่บาลานซ์ทีมได้

อย่างไรก็ดี จากความพิเศษที่มีให้ทั้งหมดนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เมื่อมีธุรกิจ ขายตรงสะดวกซื้อ “เจซี ช็อป (JC Shop)” ขึ้นมาแล้วนี่คือเครื่องมือที่ทำให้สมาชิกผู้นำนักธุรกิจที่ก้าวขึ้นตำแหน่งเพรสซิเด้นท์และตำแหน่งเมเนเจอร์ในแผนทวินเน็ตเวิร์ค เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวมากกว่า 30% ซึ่งผิดแผก แตกต่างกับก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มี “เจซี ช็อป (JC Shop)” เลยทีเดียว

ขายตรงโมเดิร์นเทรด ภาพใหญ่ที่สะท้อนความเป็นแบรนด์ J&C

จากทั้งหมดนี้จึงไม่น่าแปลกใจกับการได้เห็นผู้คนต่างหลั่งไหลกันเข้ามาร่วมธุรกิจ “จอย แอนด์ คอยน์ ( J&C)” กันอย่างไม่ขาดสาย ท่ามกลางกระบวนการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งของ “จอย แอนด์ คอยน์ (J&C)” ที่มุ่งพัฒนาธุรกิจขายตรงให้กลายมาเป็น “ห้างสรรพสินค้าขายตรงหรือ ขายตรงโมเดิร์นเทรด ระดับแสนล้านหนึ่งเดียวในสยาม” มาโดยตลอดรวมถึง ณ วันนี้ที่ดูเหมือนว่าภาพแห่งความสำเร็จ ดังกล่าวก็ได้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นอีกด้วยเช่นกัน


ภายใต้ความเหนือชั้นที่ได้เพิ่มเสริมเข้าไป ทั้งจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าให้มีความหลากหลายเข้าสู่ระบบนับหมื่นรายการ ทั้งจากการพัฒนาระบบการบริหารจัดการมารองรับ โดยผนวกรวมจุดแข็งของธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งและ “ธุรกิจขายตรง” ที่มีระบบการฝึกอบรมที่ดีที่ “ธุรกิจโมเดิร์นเทรด” ไม่มี เข้ามาใช้เป็นแรงผลักดันและขับเคลื่อนธุรกิจขายตรง “จอย แอนด์ คอยน์ (J&C)”ให้ก้าวไปสู่ความเป็น “ห้าง สรรพสินค้าขายตรง หรือ ขายตรงโมเดิร์นเทรด” ได้อย่างแข็งแกร่งในก้าว ต่อๆ ไป

ทั้งปรากฏให้เห็นได้จากการพัฒนาด้านการตลาดของ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ที่ขยับก้าวไปไกลด้วยการประสมการตลาด (Marketing Mix) หรือ 7Ps ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดโดยนอกเหนือจากการมีผลิตภัณฑ์ (Product)ที่จะเน้นในเรื่องจุดเด่นของสินค้าและความหลากหลายซึ่งตรงจุดนี้ถือว่า จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) สอบผ่านแล้วในด้านราคา (Price) และด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) ก็ถือเป็นสิ่งที่เน้นหนักให้ความสำคัญมาโดยตลอดรวมทั้งในด้านช่องทางการจำหน่าย (Place) ก็ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกช่องทางโดยมิได้จำกัดอยู่แค่ช่องทางขายตรง แต่ยังนำเอาช่องทางค้าปลีก ค้าส่ง และระบบอี-คอมเมิร์ซ ผ่านทางโทรทัศน์และผ่านการนำเสนอแบบปากต่อปาก รวมถึงช่องทางจำหน่ายผ่านศูนย์เข้ามาผสมผสานจุดแข็งรวมกันอย่างลงตัว

นอกจากนี้ยังได้พัฒนาด้านบุคคล (People) ทั้งในส่วนของพนักงานและนักธุรกิจ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ภายใต้ระบบการฝึกอบรมที่ผลักดันคนในองค์กรให้มีความรู้ ความสามารถและพัฒนาตนเองไปได้อย่างต่อเนื่องตามด้วยด้านการสร้างและนำเสนอลักษณะทางกายภาพ (Physical Evidence) ปัจจัยที่ทำให้ส่วนผสมทางการตลาดมีโครงสร้างที่สมบูรณ์ ซึ่งผู้บริโภคเองก็มีความต้องการให้มีสถานที่ให้บริการที่สะดวกสบาย สร้างความพึงพอใจตอบสนองทั้งทางอารมณ์ และความรู้สึก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ตอบสนองทางกายภาพต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง และสุดท้ายคือ ด้านกระบวนการ (Process) ที่สามารถพัฒนาคนที่ไม่เก่ง ให้กลับกลายเป็นคนเก่งได้ผ่านทางกระบวนการต่างๆ ของบริษัท ทั้งกระบวนการฝีกอบรม ระบบการจัดการคลังสินค้า การบริหารสินค้าคงคลัง การบริหารหน้าร้าน รวมไปจนถึงการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาศูนย์สาขาซึ่งทุกอย่างได้ดำเนินการควบคู่กันมาโดยตลอด

ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) พัฒนามาอย่าง ต่อเนื่องด้วยเช่นกัน จนสามารถตอบโจทย์ ผู้บริโภคได้เพิ่มมากขึ้น นั่นเป็นเพราะบริษัทมีการทำการตลาดโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ในส่วนของการรุก “กลุ่มผู้บริโภค” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่อยู่ใน กระแสความนิยม และการรุกทำโฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้นและเพิ่มความถี่ต่อเนื่องมากขึ้นส่วนในด้าน “นักธุรกิจอิสระ” จะเน้นเรื่องของการพัฒนาเครื่องมือให้นักธุรกิจอิสระสามารถนำไป ขับเคลื่อนการทำงานได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขยายสาขา การพัฒนา ระบบซอฟต์แวร์ การพัฒนาเทคโนโลยีออนไลน์ให้เข้าถึงฐานข้อมูลที่ง่ายและสามารถวางแผนการตลาดได้ง่ายขึ้น รวมไปจนถึงการมุ่งเน้นพัฒนาระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Customer Relationship Management-CRM) ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทเป็นหลัก เป็นต้น

และในวันนี้ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ได้ตอกย้ำภาพของความสำเร็จให้มีความเด่นชัดมากขึ้น จากจำนวนยอดขายที่เพิ่มขึ้น และจำนวนลูกค้าที่มีการซื้อซ้ำ (Consumer Equity) ยิ่งนับวันก็จะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นเป็นการส่งสัญญาณว่าเดินมาถูกทางแล้ว

เช่นเดียวกับการเติบโตที่มั่นคงของ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ในแต่ละปีที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงในปี 2556 ที่ผ่านมาสามารถขยับยอดขายเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2,520 ล้านบาท อีกทั้งยังมีสมาชิกเพิ่มขึ้นถึง 120,000 คน

“ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาที่ จอย แอนด์ คอยน์(J&C) ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ ด้วยการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ร้านสะดวกซื้อจากเดิม ที่ใช้ชื่อ จอยมาร์ท (JoinMart) มาเป็น เจซี ช็อป” (JC Shop) ในปัจจุบันและกำลังจะพัฒนาให้เป็นห้างสรรพสินค้าขายตรงในก้าวต่อไป ซึ่งนอกจากจะเป็นการฉีกตำราขายตรงแบบเดิมๆ แล้วยังเป็นจุดเปลี่ยนของการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย”

ดร.สมชาย กล่าวพร้อมกางแผนการลงทุนในอนาคตของ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ที่จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะการเดินหน้าไปอีกขั้นกับการเปิดตัวโมเดลขยายสาขารูปแบบใหม่ฉีกแนวจากเดิม และถือเป็นจุดเปลี่ยนในการพัฒนาสาขาที่เข้าใกล้ความเป็นห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้ามากขึ้นและที่สำคัญยังสามารถตอบโจทย์ได้มากกว่าห้างโมเดิร์นเทรดด้วยซ้ำไป โดยเชื่อเหลือเกินว่าท้ายที่สุดแล้ว “ห้างขายตรงสะดวกซื้อ” ของ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) จะยกระดับขึ้นสู่ความเป็น “ห้างขายตรงโมเดิร์นเทรด” เพียงห้างเดียวที่แบ่งผลประโยชน์ให้กับผู้คนที่เข้าร่วมธุรกิจ รวมทั้งมีความเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมอย่างไร้ขีดจำกัดได้เลยทีเดียว

“เมื่อเราเห็นภาพตรงนั้นชัดเจนขึ้น ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจ ว่าเรากำลังจะพัฒนาไปสู่ความเป็นห้างสรรพสินค้า ขายตรงแห่งแรกของไทยซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าไม่นานนี้ โดยเริ่มจากการที่ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ได้มีการพัฒนาในส่วนต่างๆ จนกระทั่งมีระบบมารองรับ จากนั้นก็ได้เข้าไปลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยการซื้อที่ดินในจังหวัดต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นขายตรงโมเดิร์นเทรดที่มีขนาดใหญ่ ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อเหมือนในอดีตอีกต่อไป”

นั่นคือคำยืนยันของ ดร.สมชาย หัชลีฬหา ผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของ จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) ที่พร้อมดำเนินการให้เป็นจริงขึ้นมาได้ด้วยการลงทุนซื้อที่ดินแปลงละไม่ต่ำกว่า 2 ไร่สำหรับขยายสาขาในจังหวัดต่างๆ อาทิเช่น ขอนแก่น, พิษณุโลก, หาดใหญ่, ตรัง, นครศรีธรรมราช, อุดรธานี และปัตตานี เป็นต้น เพื่อพัฒนาธุรกิจให้มีความทันสมัยและใหญ่กว่าเดิม โดยบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนทั้งหมดด้วยงบลงทุนต่อสาขาในแต่ละจังหวัดไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท

ขณะที่รูปแบบของศูนย์สาขาต้นแบบเพื่อให้ศูนย์สาขาอื่นๆ ยึดเป็นต้นแบบนั้น ขณะนี้ได้กำหนดรูปแบบมาแล้วโดยศูนย์ต้นแบบจะเริ่มที่ 3 จังหวัดก่อน ได้แก่ ขอนแก่น หาดใหญ่ และพิษณุโลก ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้ยึดเป็นแบบอย่างในการขยายศูนย์สาขาต่อไปในอนาคต


สาขาหาดใหญ่(เปิดเมื่อ13/8/59)